ฝากไข่ สำหรับผู้ที่อยากมีลูกในอนาคต
ในปัจจุบันด้วยความที่ “ผู้หญิง” มีความมั่นใจ มีความสามารถและเป็นผู้นำเทียบเท่ากับผู้ชายนั้น ทำให้สาวๆ ยุคใหม่ยังไม่อยากแต่งงาน แต่งงานช้า และยังไม่พร้อมจะมีบุตร แต่อยากสาวๆทั้งหลายว่าอย่าทำงานจนปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป เพราะอายุที่มากขึ้นความเสี่ยงในเรื่องต่างๆก็ตามมา หากวางอนาคตไว้แล้วว่า อยากมีลู่กและอยากมีครอบครัว “การฝากไข่” การฝากไข่ที่กำลังอยู่ในวัยเจริญพันธ์จะทำให้ได้ไข่ที่แข็งแรงสมบูรณ์ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำให้ความเสี่ยงต่างๆลดลง ม่ว่าจะเป็นปัญหาการมีลูกยาก หรือความเสี่ยงต่อการมีลูกเป็นดาวน์ซินโดรม
การฝากไข่ คืออะไร
การฝากไข่เป็นการแก้ปัญหาให้กับผู้ที่ไม่พร้อมจะมีบุตร แต่ก็ยังคงต้องการจะมีบุตรในอนาคต โดยมีวิธีการคือผู้หญิงนำเซลล์สืบพันธุ์ของตนเองที่กำลังอยู่ในวัยเจริญพันธ์ ช่วงอายุ 20-35 ปี กล่าวคือการนำไข่มาฝากหรือแช่แข็งตามวิธีทางการแพทย์ในอุณหภูมิต่ำกว่า -196 องศาเซลเซียส เมื่อพร้อมที่จะมีบุตรแล้วก็นำไข่มาละลายและนำอสุจิของสามีมาฉีดผสมให้เกิดการปฏิสนธิภายนอก ด้วยวิธีการทำอิ๊กซี่ ICSI (Intraplasmic sperm injection ) แล้วเลี้ยงตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการตัวอ่อน เมื่อตัวอ่อนถึงระยะ blastocyst แพทย์จะทำการย้ายตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูกของฝ่ายหญิง เพื่อให้เจริญเติบโตเป็นทารกตามปกติต่อไป
ผู้ที่ควรทำการฝากไข่
- ผู้หญิงที่ยังไม่พร้อมจะมีบตรหรือแต่งงานช้า
- มีประวัติครอบครัวหมดประจำเดือนเร็ว
- เคยผ่าตัดซีสต์ที่รังไข่
- ที่เป็นโรคมะเร็ง เพราะการรักษาโรคมะเร็งต้องใช้ยาเคมีบำบัด และมีการฉายแสง ซึ่งทั้งสองวิธีนี้จะทำลายเซลล์สืบพันธุ์ คือ เซลล์ไข่ เช่นเดียวกับผู้ชาย แพทย์จะแนะนำให้ผู้หญิงเก็บเซลล์ไข่และผู้ชายเก็บอสุจิไว้ก่อนการรักษา
ขั้นตอนและวิธีการฝากไข่
- เข้ารับการตรวจร่างกาย ตรวจเลือด ดูความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด การติดเชื้อต่างๆ เช่น ตรวจโรคติดเชื้อต่างๆ เช่น โรคเอดส์ โรคไวรัสตับอักเสบบี โรคไวรัสตับอักเสบซี ซิฟิลิส เป็นต้น
- ตรวจโรคที่เกี่ยวกับพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย
- ตรวจอัลตร้าซาวน์เพื่อประเมิน รังไข่ ดูว่ามีซีสต์ มีก้อนในมดลูกหรือไม่
- เตรียมตัวกระตุ้นไข่ โดยจะเริ่มกระตุ้นไข่ในวันที่ 2 ของการมีประจำเดือน เป็นเวลา 8-10 วัน
- เมื่อกระตุ้นไข่ไปแล้วแพทย์จะนัดเจาะเลือดดูฮอร์โมนและนัดอัลตร้าซาวน์เพื่อดูขนาดและจำนวนของไข่ ทุก 3-4 วัน
- เมื่อขนาดของไข่ โตมากกว่า 18 มม. ขึ้นไป แพทย์จะนัดเก็บไข่ จากนั้นนำไข่ไปแช่แข็งด้วยอุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถแช่แข็งเก็บไข่ไว้ได้นานมากกว่า 10 ปีขึ้นไป
- เมื่อพร้อมมีบุตร นักวิทยาศาสตร์จะนำเซลล์ไข่มาละลาย โดยไข่ที่ละลายแล้ว โอกาสรอดชีวิตสูงถึง 90-95 % นำอสุจิของสามีมาฉีดผสมให้เกิดการปฏิสนธิภายนอก ด้วยวิธีการทำอิ๊กซี่ ICSI(Intraplasmic sperm injection ) แล้วเลี้ยงตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการตัวอ่อน เมื่อตัวอ่อนถึงระยะ blastocyst แพทย์จะทำการย้ายตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูกของฝ่ายหญิง เพื่อให้เจริญเติบโตเป็นทารกตามปกติต่อไป